简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:โดย Barani Krishnan Investing.com – ไม่ต้องสนใจเสียงภายนอก และปล่อยให้ปัญหาของผู้บริโภคเป็นปัญหาของผ
โดย Barani Krishnan
Investing.com – ไม่ต้องสนใจเสียงภายนอก และปล่อยให้ปัญหาของผู้บริโภคเป็นปัญหาของผู้บริโภค นั่นไม่ใช่ปัญหาของเรา ท่าทีของ OPEC+ ใช้ได้ดีในการผลักดันราคาน้ำมันดิบให้สูงขึ้นเป็นวันที่สี่ติดต่อกัน โดยราคาเพิ่มขึ้น 3% ของช่วงวันจันทร์หลังเวลาทำการซื้อขายในเอเชีย ผลจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ไม่ดีของจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์ ซื้อขายที่ราคา 114.24 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.9 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ร่วงลงสู่ 109 ดอลลาร์ช่วงเช้าของวัน
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบWTI ซื้อขายในนิวยอร์กที่ 114.20 ดอลลาร์เพิ่มขึ้น 3.71 ดอลลาร์หรือ 3.4% ก่อนหน้านี้ในเซสชั่น WTI ร่วงลงไปต่ำสุดที่ 106.28 ดอลลาร์
การฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบเกิดขึ้นหลังจากนายอับดุลอาซิซ บิน ซัลมาน รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของซาอุดีอาระเบีย กล่าวว่า การขาดแคลนกำลังการกลั่นในสหรัฐอเมริกาและที่อื่น ๆ นั้นหมายความว่าน้ำมันเบนซินและผลิตภัณฑ์น้ำมันอื่น ๆ จะยังคงมีราคาแพงแม้ว่าผู้ส่งออกจะสูบน้ำมันดิบมากขึ้นก็ตาม
ราคาน้ำมันสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว โดยน้ำมันเบนซินอยู่เหนือ 4.50 ดอลลาร์และน้ำมันดีเซลที่ประมาณ 6 ดอลลาร์สำหรับปั๊มบางแห่ง นอกเหนือจากการขาดดุลในความสามารถในการกลั่นแล้ว ความต้องการเชื้อเพลิงที่มีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าก่อนฤดูร้อนสำหรับการท่องเที่ยว กำลังผลักดันราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่มองไม่เห็นจนถึงขณะนี้
คำพูดของอับดุลอาซิซคล้ายกับคำพูดของ OPEC+ ว่ามี “เป็นอุปสรรคทางกายภาพที่ผู้ผลิตไม่สามารถแก้ไขได้”
กลุ่ม OPEC+ ทั้ง 23 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วย 13 ประเทศแรกเริ่ม นำโดยองค์กรของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันโดยซาอุดิอาระเบียกับอีก 10 ประเทศที่นำโดยรัสเซีย ที่กำลังผลิตเพิ่มขึ้นต่อเดือนเพียง 430,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งลดลงอย่างชัดเจนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากการคว่ำบาตรต่อรัสเซียจากประเทศตะวันตก
สหรัฐฯ กำลังประสบปัญหาอุปทานน้ำมันเบนซินอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งดีเซล จากการปิดและการลดขนาดโรงกลั่นหลายแห่งในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด19 โรงกลั่นที่อยู่ในธุรกิจได้ให้บริการเฉพาะในสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องทุ่มเงินใด ๆ ไปกับการขยายกำลังการผลิตที่มีอยู่ หรือการซื้อโรงงานที่ไม่ได้ใช้งานซึ่งสามารถเปิดใหม่ได้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้บริโภค อีกเหตุผลที่ทำให้โรงกลั่นต้องทำเช่นนี้คือ บันทึกผลกำไรจากสถานการณ์ปัจจุบันที่อาจทำให้ความอยากในการขยายธุรกิจนั้นลดลง อีกประการหนึ่งคือโรงกลั่นใหม่ต้องใช้เวลาในการสร้างผลกำไร
บลูมเบิร์กได้ประมาณการว่ากำลังโรงกลั่นน้ำมันของสหรัฐฯ นั้นมากกว่า 1.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 5% โดยรวม ได้ปิดตัวลงแล้วตั้งแต่การระบาดของโควิด19 โดยในขั้นต้นได้โควิด19 ได้ทำลายความต้องการใช้น้ำมันในปี 2020 นอกสหรัฐอเมริกา เทอร์เนอร์ที่ปรึกษาด้านพลังงาน Mason & Co กล่าวว่ากำลังการผลิตหดตัว 2.13 ล้านต่อวัน เมื่อไม่มีแผนขยายธุรกิจในอนาคต การกดดันก็จะทำให้ยิ่งแย่ลงเท่านั้น
“ไม่มีกำลังการกลั่นที่เหมาะสมกับความต้องการในปัจจุบันและตามความคาดหวังของความต้องการในช่วงฤดูร้อน” อับดุลอาซิซกล่าวย้ำเมื่อวันจันทร์ในบลูมเบิร์กจากการประชุมพลังงานในบาห์เรน
คำพูดของเขาถูกตอบรับโดย Sheikh Mohammed Bin Khalifa Bin Ahmed รัฐมนตรีน้ำมันของบาห์เรน
“ไม่มีโรงกลั่นใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น” Sheikh Mohammed กล่าวในงานเดียวกัน “แม้ว่าคุณจะผลิตน้ำมันดิบมากขึ้น แต่ก็ไม่มีความต้องการ ไม่มีโรงกลั่นอีกต่อไป”
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
EC Markets
IB
Pepperstone
IC Markets Global
Saxo
Neex
EC Markets
IB
Pepperstone
IC Markets Global
Saxo
Neex
EC Markets
IB
Pepperstone
IC Markets Global
Saxo
Neex
EC Markets
IB
Pepperstone
IC Markets Global
Saxo
Neex