简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:ดร.ศิวัช วิศวกรหนุ่มถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกโอนเงินกว่า 8.46 ล้านบาท หลังถูกข่มขู่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ DSI และกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงิน เขาต้องอยู่ในสายตลอด 7 วัน และถูกบังคับให้เดินทางไปแปลงสลากออมสินที่จังหวัดสงขลา โชคดีที่ไม่ต้องจำนองคอนโดมูลค่า 7 ล้าน มูลนิธิสายไหมต้องรอดเตรียมประสานตำรวจไซเบอร์เพื่อสืบหาตัวผู้กระทำผิด.
เหยื่อร้องเรียนผ่าน “สายไหมต้องรอด”
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ดร.ศิวัช (ขอสงวนนามสกุล) วิศวกรหนุ่มวัย 32 ปี เข้าร้องเรียนต่อมูลนิธิสายไหมต้องรอด หลังถูกหลอกให้โอนเงินกว่า 8.46 ล้านบาท โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และกล่าวหาว่าเขาเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงิน
กลอุบายซับซ้อน หลอกให้อยู่ในสายต่อเนื่อง 7 วัน
ผู้เสียหายเผยว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา เขาได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จาก DSI โดยมีเอกสารปลอมประกอบ พร้อมข่มขู่ว่าจะอายัดทรัพย์สินทั้งหมดหากไม่ให้ความร่วมมือ ก่อนจะถูกบังคับให้วิดีโอคอลผ่านแอปพลิเคชันไลน์และห้ามติดต่อบุคคลภายนอก
ตลอดระยะเวลา 7 วัน ดร.ศิวัชต้องอยู่ในสายอย่างต่อเนื่อง โดยมีการโอนเงินไปยังบัญชีต่างๆ รวม 11 ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้น 8,465,084 บาท ผ่านธนาคาร 4 แห่ง รวม 5 บัญชี
ถูกสั่งเดินทางไปแปลงสลากออมสินเป็นเงินสด
นอกจากการโอนเงินผ่านบัญชีแล้ว แก๊งมิจฉาชีพยังสั่งให้ผู้เสียหายเดินทางไปยังจังหวัดสงขลา เพื่อแปลงสลากออมสินเป็นเงินโอนเพิ่มเติม โดยตลอดการเดินทางยังคงถูกสั่งให้อยู่ในสายตลอด มีเพียงช่วงเวลาบนเครื่องบินเท่านั้นที่สายขาด แต่ก็ต้องรายงานความเคลื่อนไหวตลอด
เหยื่อเผย เคยอยู่ต่างประเทศ 9 ปี ไม่เคยเจอพฤติกรรมแบบนี้
ดร.ศิวัช ระบุว่า ก่อนหน้านี้ตนอาศัยอยู่ต่างประเทศนานถึง 9 ปี เพิ่งกลับมาใช้ชีวิตในประเทศไทยได้เพียง 1 ปี จึงไม่คุ้นเคยกับกลลวงลักษณะนี้ แม้เคยมีมิจฉาชีพโทรมาในอดีต แต่ก็สามารถจับพิรุธได้ แต่ครั้งนี้กลุ่มคนร้ายมีความแนบเนียนและน่าเชื่อถือสูง ประกอบกับความกลัวที่ถูกข่มขู่ จึงทำให้หลงเชื่อ
เกือบถูกหลอกให้จำนองคอนโดอีก 7 ล้าน
ผู้เสียหายยังเปิดเผยว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์พยายามโน้มน้าวให้เขานำโฉนดคอนโดมูลค่ากว่า 7 ล้านบาทไปจำนอง เพื่อนำเงินมาโอนให้เพิ่มเติม โชคดีที่การจำนองไม่ผ่าน จึงไม่สูญเสียทรัพย์สินส่วนนี้
สายไหมต้องรอดเตรียมประสานตำรวจไซเบอร์
นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจ “สายไหมต้องรอด” ระบุว่า จะเร่งประสานตำรวจไซเบอร์เพื่อสืบหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี พร้อมย้ำเตือนประชาชนว่า กลุ่มมิจฉาชีพไม่เลือกเป้าหมายเฉพาะบุคคลทั่วไป แต่สามารถหลอกเหยื่อที่มีการศึกษาและตำแหน่งหน้าที่การงานดีได้เช่นกัน
เขายังเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดการกับเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจังเพื่อป้องกันไม่ให้มีเหยื่อรายใหม่เกิดขึ้นอีก
ขอบคุณข้อมูลจาก มติชนออนไลน์
อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย :https://www.wikifx.com/th/original.html?source=tso4
คุณสามารถตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี โหลดเลยตอนนี้จะพลาดได้ไง!
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
ชีวิตหรูหราของเทรดเดอร์ในโซเชียลอาจไม่ใช่ผลจากการเทรด Forex จริงๆ หลายคนรวยจากการขายคอร์ส สร้างภาพ หรือรับค่านายหน้า ไม่ใช่กำไรจากตลาด การเติบโตของเงินทุนใน Forex ต้องใช้เวลา ความรู้ และวินัยสูง — ไม่มีทางลัด อย่าหลงเชื่อภาพลวงตา เพราะการเทรดไม่ใช่โชค แต่คือความเข้าใจและอดทนระยะยาว “การเทรดไม่ทำให้รวยเร็ว แต่ความโลภจะทำให้คุณจนไว”
DSI รับคดี Zipmex เป็นคดีพิเศษ หลังพบหลอกลวงประชาชนเสียหายกว่า 1,019 ล้านบาท Zipmex เสนอผลตอบแทนสูงผ่าน Z-Wallet ทั้งที่ไม่มีรายได้จริงมาจ่าย ผู้เสียหายเกือบพันราย กรมสอบสวนฯ เร่งสอบสวนช่วยเหลือเต็มที่ DSI เตือนติดตามข่าวผ่านช่องทางทางการเท่านั้น — อย่าหลงเชื่อข่าวปลอม
บทความนี้เตือนภัยนักลงทุน Forex ถึงกลโกงที่ระบาดในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะการหลอกลวงผ่านโซเชียลมีเดียที่อ้างผลตอบแทนสูงเกินจริง ยกเคสจริงจาก Tiktok ที่ทำให้ผู้เสียหายสูญเงินกว่า 6 ล้านบาท พร้อมแนะนำวิธีตรวจสอบโบรกเกอร์ Forex อย่างปลอดภัย เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพในยุคดิจิทัล.
ตำรวจสอบสวนกลางบุกค้น 8 ร้านแลกคริปโตเถื่อนในกรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต หลังพบมีเงินหมุนเวียนกว่า 14,000 ล้านบาท เชื่อมโยงอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งค้ายา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และฟอกเงิน ร้านเหล่านี้ไม่มีใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ให้บริการเฉพาะชาวต่างชาติ ไม่รับลูกค้าไทย และซ่อนโครงสร้างบริษัทซับซ้อน ตำรวจเตือน! ระวังทำธุรกรรมกับร้านผิดกฎหมาย อาจกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมฟอกเงินโดยไม่รู้ตัว