简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:คุณรู้หรือไม่ว่าการขุดบิตคอยน์ สามารถทำเงินให้นักลงทุนได้จริง เพราะเมื่อเราแก้รหัสได้สำเร็จก็จะได้ผลตอบแทนกลับมาเป็นเหรียญดิจิทัล ซึ่งเราสามารถนำไปแลกเป็นสกุลเงินหลักได้ ไม่ว่าจะเป็น ดอลลาร์ เยน หรือเงินบาท เพื่อใช้จ่ายจริงในชีวิตประจำวัน หรือใครจะนำเหรียญที่ขุดได้ไปใช้กับร้านค้าที่รับชำระด้วยเหรียญดิจิทัลชนิดนั้น ๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน
คุณรู้หรือไม่ว่าการขุดบิตคอยน์ สามารถทำเงินให้นักลงทุนได้จริง เพราะเมื่อเราแก้รหัสได้สำเร็จก็จะได้ผลตอบแทนกลับมาเป็นเหรียญดิจิทัล ซึ่งเราสามารถนำไปแลกเป็นสกุลเงินหลักได้ ไม่ว่าจะเป็น ดอลลาร์ เยน หรือเงินบาท เพื่อใช้จ่ายจริงในชีวิตประจำวัน หรือใครจะนำเหรียญที่ขุดได้ไปใช้กับร้านค้าที่รับชำระด้วยเหรียญดิจิทัลชนิดนั้น ๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน
โดยการขุดเหรียญ ‘Bitcoin’ นั้นทำได้ด้วยกัน 2 วิธีดังนี้
1. ขุดด้วยตัวเองเป็นวิธีที่นักลงทุนซื้ออุปกรณ์มาขุดด้วยตัวเอง ซึ่งจะเป็นการใช้การ์ดจอคุณภาพสูง หรือเครื่อง ASIC Miner ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่ประกอบมาเพื่อขุดเหรียญดิจิทัลโดยเฉพาะ โดยมีขั้นตอนการขุดคือ
1. จัดสเปกคอมพิวเตอร์ให้พร้อมสำหรับการขุด
โดยสเปกคร่าว ๆ ที่หลายคนแนะนำนั้น ควรมี RAM ที่หน่วยความจำเกิน 4GB ขึ้นไป, Mainboard เน้นรุ่นที่ใส่การ์ดจอได้เยอะ ๆ ตั้งแต่ 6 GPU ขึ้นไป, การ์ดจอ ยิ่งรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูง ยิ่งคุ้มค่าไฟเท่านั้น โดยมีรุ่นที่แนะนำ เช่น AMD รหัส RX470 RX570 RX480 RX480 ส่วนฝั่ง Nvidia แนะนำรหัส GTX1060 GTX1070 GTX1080Ti หรือถ้าใครจะซื้ อเครื่อง ASIC เพื่อใช้ขุดเหรียญโดยเฉพาะก็ได้เช่นกัน ซึ่งมีราคาเริ่มต้นประมาณ 60,000-100,000 บาท
อย่างไรก็ตาม หากใครมีคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กที่ใช้เป็นประจำอยู่แล้วก็สามารถขุดได้เหมือนกัน เพียงแต่ประสิทธิภาพในการขุดจะสู้คนที่ใช้เครื่องประสิทธิภาพสูงไม่ได้ จึงอาจได้ไม่คุ้มเสีย หรือที่เรียกภาษาบ้านๆ กันว่า “ไม่ทันกินคนอื่นนั่นเอง”
2. สมัครกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ (Wallet)
ที่เป็นตัวกลางในการเก็บเงินดิจิทัลเอาไว้ เมื่อเวลาเราขุดเหรียญออกมาได้ Wallet ก็จะทำหน้าที่เหมือนบัญชีธนาคารที่คอยเก็บเงินเอาไว้ให้ สำหรับเว็บไซต์สมัคร Wallet ที่คนนิยมกันก็อย่างเช่น ZenGo และ coins.co.th ข้อควรระวังก็คือต้องเก็บรักษารหัสผ่านไว้ให้ดี เพราะถ้าหายจะไม่สามารถกู้คืนได้
3. ติดตั้งซอฟต์แวร์สำหรับขุด
โดยโปรแกรมที่นิยมใช้ในการขุดบิตคอยน์ก็มีมากมายหลายตัวเลย เช่น NiceHash Miner, BFGMiner, EasyMiner, RPC Miner ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มีวิธีการใช้งานและความสามารถที่แตกต่างกันไป ควรศึกษาให้ดีก่อนติดตั้ง
4. เริ่มรันระบบในโปรแกรมที่ติดตั้งไว้
เพื่อทำการขุดบิตคอยน์ได้เลย และหากแก้รหัสสำเร็จระบบจะโอนบิตคอยน์เข้า Wallet ที่เราลงทะเบียนไว้ ซึ่งบางที่จะมีการกำหนดขั้นต่ำไว้ด้วย เช่น NiceHash Miner มีขั้นต่ำอยู่ที่ 0.0001 BTC ถึงจะโอนเข้า Wallet ได้
ข้อดีของวิธีนี้คือ เราจะได้เงินจากการขุดเต็ม 100% โดยไม่ต้องแบ่งใคร และเป็นเจ้าของเครื่องขุดด้วยตัวเอง แต่ก็มีข้อเสีย เรื่องเงินลงทุน ที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้ออุปกรณ์ถ้าอยากจะขุดแบบจริงจัง ซึ่งปัจจุบันการขุดด้วยตัวเองคงจะสู้เหมืองขุดบิตคอยน์ขนาดใหญ่ไม่ไหว แถมยังมีเรื่องค่าซ่อมบำรุง ค่าไฟ (เพราะต้องเปิดเครื่องทิ้งไว้ตลอด 24 ชั่วโมง) รวมถึงจำเป็นต้องมีความรู้เชิงเทคนิคที่ดีด้วย ถึงจะเหมาะกับการขุดด้วยวิธีนี้
2. ขุดแบบ Cloud Mining
เป็นวิธีที่กำลังได้รับความนิยมมากในตอนนี้ โดยการเช่าบริการขุดจากเหมืองขุดเหรียญต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งช่วยให้คนที่สนใจขุดบิตคอยน์สามารถเริ่มต้นได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องมานั่งปวดหัวกับเรื่องอุปกรณ์ หรือบริหารค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ยุ่งยากซับซ้อน โดยเฉพาะเรื่องค่าไฟฟ้า ที่เป็นปัญหาสำคัญเลยของหลายคน และข้อดีอีกอย่างก็คือ เรายังสามารถเปลี่ยนไปขุดเหรียญสกุลอื่นได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องเสียเงินเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ยกชุด
อีกทั้งการขุดบิตคอยน์แบบ Cloud Mining ยังง่ายกว่าการขุดด้วยตัวเองมาก เพียงแค่มีบัญชี Wallet เป็นของตัวเอง แล้วทำการสมัครสมาชิกกับเว็บไซต์ที่เปิดให้บริการ เราก็สามารถเลือกซื้อกำลังขุดและชนิดเหรียญที่ต้องการขุดได้เลย
อย่างไรก็ตามการเช่าบริการขุดแบบ Cloud Mining ก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน ถ้าเราเลือกเหมืองที่ไม่ได้คุณภาพ ก็มีโอกาสที่จะโดนหลอกเอาได้ เพราะฉะนั้นก่อนจะตัดสินใจลงทุน ควรจะเลือกเหมืองที่น่าไว้ใจ เชื่อถือได้ ซึ่งขอแนะนำว่า ถ้าเป็นมือใหม่อาจจะลองหาผู้บริการในประเทศใช้ก่อน เพราะอย่างน้อยก็สามารถลดความเสี่ยงเรื่องการถูกโกงไปได้ระดับหนึ่ง และปัจจุบันก็มีผู้ให้บริการหลายรายเลยที่น่าสนใจ
“WikiBit” แอปนำเสนอข่าวสารวงการคริปโต และพร้อมให้บริการตรวจสอบ Exchange ทั่วโลก รวบรวมข้อมูล Shitcoin และโครงการเถื่อน ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ ฟรี!
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
บทความนี้เปรียบเทียบบิทคอยน์และทองคำในฐานะสินทรัพย์เพื่อการลงทุน โดยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในด้านจำนวนจำกัด ความสามารถในการเก็บมูลค่า ความปลอดภัย และความคล่องตัวในการเคลื่อนย้าย ทั้งสองสินทรัพย์มีบทบาทในการป้องกันความเสี่ยงและตอบโจทย์นักลงทุนในลักษณะที่ต่างกัน — บิทคอยน์เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงและสนใจเทคโนโลยีใหม่ ส่วนทองคำเหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคงระยะยาว บทสรุปเสนอแนวทาง “กระจายการลงทุน” ถือทั้งสองสินทรัพย์ตามสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างโอกาสและความปลอดภัยในพอร์ตลงทุน
บทความนี้เปิดโปงปรากฏการณ์ “Pump and Dump” ในโลกคริปโต ที่อินฟลูเอนเซอร์ใช้ชื่อเสียงปลุกกระแสเหรียญเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน โดยมักได้รับค่าตอบแทนหรือถือเหรียญไว้ล่วงหน้า ก่อนราคาจะถูกปั่นขึ้นจากความเชื่อของผู้ติดตาม แล้วถูกเทขายจนเหรียญราคาร่วง กรณีศึกษา “SaveTheKids” ชี้ให้เห็นว่าแม้อินฟลูเอนเซอร์จะมีชื่อเสียง แต่ไม่ได้หมายความว่ามีจรรยาบรรณ นักลงทุนจึงต้องใช้วิจารณญาณและตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน
“Bitcoin Pizza Day” เป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของคริปโตเคอร์เรนซี่ โดยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ปี 2010 เมื่อโปรแกรมเมอร์ชาวฟลอริดาชื่อ Laszlo Hanyecz ใช้ Bitcoin จำนวน 10,000 เหรียญซื้อพิซซ่า 2 ถาด ถือเป็นครั้งแรกที่ Bitcoin ถูกใช้ในการซื้อสินค้าจริงในชีวิตประจำวัน แม้เหรียญเหล่านั้นจะมีมูลค่าเพียง 1,300 บาทในตอนนั้น แต่หากเก็บไว้จนถึงปัจจุบัน มูลค่าจะทะลุ 33,000 ล้านบาท เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่เปลี่ยน Bitcoin จากแนวคิดในกลุ่มเล็ก ๆ ให้กลายเป็นสินทรัพย์ระดับโลกที่มีอิทธิพลทางการเงินอย่างมหาศาล.
บทความนี้พาย้อนรอยคดีแชร์ลูกโซ่ในโลกคริปโต ตั้งแต่ BitConnect, OneCoin, PlusToken ไปจนถึงโปรเจกต์ไทยอย่าง HashBX และฟีเวอร์ ICO ในปี 2017–2018 สะท้อนให้เห็นรูปแบบหลอกลวงที่เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้าตา แต่ยังคงใช้กลยุทธ์เดิมคือ “สัญญาผลตอบแทนสูงในเวลาอันสั้น” โดยแฝงเทคโนโลยีทันสมัยมาเพิ่มความน่าเชื่อถือ บทเรียนสำคัญคือ นักลงทุนต้องระวังกับคำพูดที่ดูดีเกินจริง และควรตรวจสอบข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยได้ในระยะยาว.
FXCM
Pepperstone
Saxo
Markets.com
KVB
IC Markets Global
FXCM
Pepperstone
Saxo
Markets.com
KVB
IC Markets Global
FXCM
Pepperstone
Saxo
Markets.com
KVB
IC Markets Global
FXCM
Pepperstone
Saxo
Markets.com
KVB
IC Markets Global